วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

(2014) ท่องเที่ยวเมืองเจนิวา ( GENIVA) 2/1/14

ท่องเที่ยวเมืองเจนีวา ( Geneva) 

วันนี้เดินทางจากที่พัก กรุงเบิร์น ขึ้นรถไฟ มาทางตะวันตกของสวิต มาเที่ยวเมืองสำคัญที่มีองค์กรระหว่างชาติ ( Global City) ที่สำคัญมากมาย สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป, องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น เจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ ใน ค.ศ. 1919 และกาชาดสากล ใน ค.ศ. 1864

เจนีวา (อังกฤษGeneva); เฌอแนฟว์ (ฝรั่งเศสGenève) หรือ เกนฟ์ (เยอรมันGenf) เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์(รองจากซูริก) ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำโรนไหลออกสู่ทะเลสาบเจนีวา


ลงรถไฟและเดินออกมา ตรงมุ่งหน้ามาที่  น้ำพุเจ็ทเดเอา (Jet d'Eau) น้ำพุที่ได้รับการยอมรับว่าสูงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเจนีวา โดยน้ำพุสามารถมองเห็นได้จากทุกจุดในเมือง รวมไปถึงจากทางอากาศอีกด้วย 


วันที่ผมมาเป็นวันที่ 1 มกราคม 2558 พอดีเดินเที่ยวจากสถานีรถไฟมา ร้านทุกร้านยังปิดเงียบอยู่ และเดินมาทางถนน ยังเห็นร่องรอยการเฉลิมฉลองจากเมื่อคืนเยอะพอสมควร (ทั้งขวดแก้วแตก และเศษขยะพอประมาณ) แต่ก็ได้บรรยากาศเดินชมเมืองไปแบบสงบๆ สวยครับ
บรรยากาศในเมืองเจนีวา

บรรยากาศเมืองเจนีวา




เดินข้ามสะพานมาจะเจอหอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของสวิต อีกจุดในเมือง



หลังจากนั้นมุ่งหน้าไปยังเขตเมืองเก่า (Old Town ) ของกรุงเจนีวา แล้วไปเยือน วิหารเซนต์ปิแอร์ (St. Pierre Cathedral) อาคารทางศาสนาที่มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆของกรุงเจนีวา วิหารเซนต์ปิแอร์ เป็นวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ย้อนกลับไปในช่วงระหว่างศตวรรษ 8 -10 ปัจจุบันวิหารได้กลายเป็น 1 ใน 82 สิ่งปลูกสร้างที่เป็นแหล่งมรดกสำคัญของชาติสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุงเจนีวาอีกด้วย 

โดยส่วนตัวผมชอบเพราะหน้าปราสาทมีเสา หลายต้น เหมือนดูการ์ตูนย์เรื่อง เซ็นเซย่า ตอนบุก 12 ปราสาทเลย (เกี่ยวกันป่าวเนี๊ย 555)


วิหารเซนต์ ปิแอร์

ด้านข้างวิหาร เซนต์ ปิแอร์
 เดินอ้อมไปด้านหลังของปราสาท จะมีทางเดินขึ้นเนินไปข้างบน เห็นวิวสวยมากไปยังทะเลสาบ


เดินลงมา อย่างเหนื่อย ลืมบอกไปว่า ในตัวเมือง ร้านช็อปปิ้ง เยอะมากครับ ทั้งกระเป๋า นาฬกา ร้านเพียบเลยครับ



เดินซักพัก เป็นเมืองๆหนึ่งที่สวยงาม โดยเฉพาะรอบๆทะเลสาบ มีห่าน และนกเต็มไปหมด ซักพักเหนื่อยก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ไปเที่ยวเมืองอื่นต่อดีกว่า

ขอบคุณคำแนะนำจาก ไกด์ท่องเที่ยวแบบส่วนตัวโดยคนไทยในสวิตเซอแลนด์ครับ www.SwissToursByTe.com 

(2014) ปราสาทชิยอง (Château de Chillon) 3/1/14

เที่ยว ปราสาทชิยอง Château de Chillon หรือ Chillon Castle

วันนี้ผมสะพายเป้เดินทางคนเดียว ไม่ลืมของสำคัญต่างๆ Passport ,Swiss Pass ,กระเป๋าเงิน และที่สำคัญ กล้องถ่ายรูป เดินทางโดยรถไฟ ออกจาก BERN เวลา 10:06 ผ่านเมืองโลซาน (Lausanne) ต่อไปที่เมือง Montreux (มองโทร์) เป็นเมืองที่ใกล้เมือง Vevey 



เมืองมองเทรอซ์ (Montreux) เมืองเล็กๆแสนน่ารักที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ทะเลสาบแสนสวยที่เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก 
ออกจากชานชลา  เดินมาที่ Bus Station โดยขึ้นรถเมล์สาย 201 ไปลงที่ป้าย "Chllon" ( ประมาณ 9 ป้าย)



พอถึงป้าย Chillon เดินลงที่ป้ายนี้ (คนขับรถเมล์รู้อยู่แล้วเพราะนักท่องเที่ยวลงเยอะ) พอลงมาปุ๊บ จะเห็นปราสาทเด่น เป็นสง่ามาก  เป็นวิวที่สวยงามมาก เพราะด้านหลังเป็ฯทะเลสาบ และ หุบเขา เหมือนภายในฝันเลยครับ

สวยงามเหมือนนิยายกาตูนย์ตอนเด็กๆเลยครับ
นาฬิกาบนยอดหอคอยปราสาท


มองผ่านปราสาทไปจะเป็นวิวทะเลสาบและหุบเขา

“ปราสาทชิลยอง” (Castle of Chillon) หรือในภาคภาษาฝรั่งเศสคือ “ชาโต เดอ ชิลยอง” (Château de Chillon) ยืนสงบนิ่งอยู่บนแนวก้อนหินที่ล้อมรอบด้วยน้ำมานานกว่า 800 ปี นับเป็นปราสาทยุคกลางของยุโรปที่มีสภาพดีที่สุด
       
       ฐานปราสาทที่มีหินก้อนใหญ่รองรับอยู่นั้น เชื่อว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคทองสัมฤทธิ์ (Bronze Age) ซึ่งในยุโรปกลางตรงกับช่วงปี 1800-1600 ก่อนคริสตศักราช ต่อมาถูกชาวโรมันครอบครอง จากหลักฐานเสาหินแบบโกธิกในห้องใต้ดิน จนกระทั่งปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าถูกต่อเติมสร้างเป็นปราสาทขนาดใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 11–13 เป็นสมบัติของเคานต์ซาวอย (Counts of Savoy) ขณะนั้นปกครองทางตอนเหนือของอิตาลีและกินพื้นที่เข้ามาทางตอนใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน 

เดิมทีชิลยองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างเทือกเขาแอลป์ที่รู้จักกันดีว่า la route d'Italie หรือถนนสู่อิตาลีนั่นเอง ด้านหน้าปราสาทที่ติดถนนเป็นป้อมปราการมีหอคอย 3 ยอดห่างออกมาจากฝั่งเชื่อว่าเป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย ส่วนอีกด้านหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ซึ่งเงียบสงบร่มเย็นคาดว่าน่าจะเป็นที่ประทับของเจ้าชาย และฝั่งด้านติดทะเลสาบนั้นยากแก่การลอบเข้าโจมตีของศัตรู


      
 มาถึงก็เดินข้ามสะพานไม้ หน้าปราสาทเพื่อเข้าไปในตัวปราสาทมีด่านเก็บเงินค่าเข้าอัตราตามภาพนะครับ แต่ถ้ามี Swiss Pass ก็แค่ยื่น Swiss pass เท่านั้น ไม่ต้องเสียเงิน และทางเจ้าหน้าที่จะให้คู่มือเดินชมปราสาทมา 1 แผ่่น


ราคาค่าตั๋วเข้าชม
คู่มือการเดินเที่ยวในปราสาท




ได้รับมาแล้วก็นั่งพักข้างๆร้าน Shop ซะหน่อย เพื่อเปิด โบชัวร์ศึกษาวิธีเดินเที่ยวเพราะปราสาทใหญ่มาก แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ในคู่มืออธิบายการเดินเป็น "Number" 1-46 " โดยเดินตามลูกศรและเลขไปเรื่อยๆ มีเลขติดตลอดทุกห้องครับ

แผนผังปราสาทชีลอง

เริ่มเข้าห้องแรก เป็น Model ในห้อง Castle Model เพื่อดูแบบจำลองปราสาทแบบเหมือนของจริงแป๊ะ

       เข้าห้องแรกเป็นคูกเก่าที่ใช้จองจำนักโทษ ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นคุก แต่ที่แปลกๆคือ พอเดินเข้ามาปุ๊บ เย็นยะเยือกแถมขนลุกตลอดทางที่เดินเลย จนมาอ่านประวัติเลยถึงบางอ้อ ในนี้มีทั้งเครื่องจองจำ ,โซ่ตรวน ,ที่แขวนคอ ตอนแรกถ่ายรูปไว้หมดแล้ว แต่ลบออก ไม่อยากเอามาลง (กลัวเจอภาพติดวิญญาณ)

       ในประวัติคุกใต้ดินของชิลยองมีร่องรอยบุคคลสำคัญของโลกประทับไว้...เขาคือ “ลอร์ด ไบรอน” กวีและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ สัญลักษณ์แห่งความเพ้อฝัน และการแสวงหาเสรีภาพของยุคโรแมนติก...ถ้ายังนึกไม่ออก ลองนึกถึง “ดอน ฮวน” (Don Juan) ชายสเปนที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนุ่มเจ้าชู้ก็ด้วยฝีมือของลอร์ด ไบรอนผู้นี้
       
       ต้นศตวรรษที่ 19 ขณะที่ยุคโรแมนติกกำลังเฟื่องฟู มีกวีหลายคนได้เยี่ยมเยียนปราสาทชิลยองแห่งนี้ โดยแต่ละคนกลับออกไปพรรณนาเป็นทั้งข้อเขียนและบทกวีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรุสโซ (Jean-Jacques Rousseau), เชลลีย์ (Percy Bysshe Shelley), ฮิวโก (Vigtor Hugo), ดูมาส (Alexandre Dumas), ชาร์ล ดิสเกนส์ (Charles Dickens) และแน่นอนว่ารวมถึงลอร์ดไบรอน ที่สลักชื่อของเขาเองลงบนเสาต้นที่ 3 ในคุกส่วนที่เคยขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard) 
   

เริ่มเดินดูในปราสาทตามห้อง ถ่ายรูปมาเยอะเลยครับ เอาเป็นว่าไล่ดูไปเรื่อยๆครับ

ห้องรัปประทานอาหาร
เตาครัว

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

(2014) Bangkok to Milan (Italy) (วันเดินทางวันแรก) 23/12/14

การเดินทางปี 2014-2015 เริ่มต้นที่ Bangkok

1) VISA ,Passport ,กระเป๋าเงิน ,โทรศัพท์ ,สัมภาระ และ ตั๋วเครื่องบินพร้อม ,ปีนี้ไปด้วย ETIHAD แบบ Transit ต่อเครื่องที่ อะบูดาบี (UAE) (เพราะราคาไม่แพงในช่วง High Season (ไม่แพงๆ แต่ก็ 3 หมี่นกว่าบาทเลย 555+)
**สายการบิน ETIHAD นี้ OK ,ไม่งกอาหารและเครื่องดื่ม เรียกแอร์ได้ตลอด (เบียร์ ไวน์ ก็มีให้) ,มีหนัง เกมส์ ให้ดู ให้เลนตลอดทาง (บางสายการบินต้องซื้อเพิ่ม) ต่อเครื่องที่สนามบินอะบูดาบี ก็ไม่นาน (3 ชัวโมง) ***



ถึงสนามบิน Milan  Malpensa ITALY) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชัวโมง (รวม Transit 3 Hr.)


มาถึงสนามบิน Milan  Malpensa ก็นั่งรถไฟ จากสนามบินมาที่ โบสถ์ Duomo di Milano


มหาวิหารแห่งเมืองมิลานโบสถ์ DUomo di Milano เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค สวยงาม เป็นอันดับ 3 ของโลก เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386 แต่ระหว่างการก่อสร้างก็พบกับปัญหา และอุปสรรค
มากมาย ทั้งปัญหาการเมือง และการเงิน กว่าจะเสร็จสมบรูณ์ก็กินเวลาไปถึง 579 ปี เปลี่ยนคนก่อสร้างไปหลายชั่วอายุคน แต่มีสถาปนิกที่คุมการก่อสร้าง คือ ลีโอนาโด นาวินชี ศิลปินชื่อก้องโลก

ถ่ายรูปหน้าโบสถ์เรียบร้อย ก็มาเดินช็อปปิง ข้างๆโบส บริเวณ Piazza del Duomo (มาร้าน Prada ที่แรกของโลก)
** เค้าว่ากันว่า ถ้ายืนตรงจุดกึ่งกลางโดม จะได้กลับมาที่นี้อีก อิอิ **